หากคุณกำลังสงสัยว่าการส่งของไม่ว่าจะเป็นส่งข้ามจังหวัด ข้ามอำเภอ ข้ามตำบล หรือส่งไปยังต่างประเทศมีกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง เรารวมข้อมูลมาให้แล้วพร้อมข้อควรรู้
ส่งของมีกี่ประเภทอะไรบ้าง
การบริการส่งของหลัก ๆ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ประเภท แบ่งตามประเภทของสินค้า ได้แก่
1. พัสดุธรรมดา
เป็นการขนส่งพัสดุทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เช่น เอกสาร โต๊ะ ข้าวของเครื่องใช้
2. พัสดุที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ได้แก่
- สินค้าแตกหักง่าย เช่น เครื่องลายคราม เครื่องปั้นดินเผา
- สัตว์ สิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องมีการจัดระบบเพื่อให้สามารถเดินทางข้ามจังหวัดเป็นเวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน โดยไม่เป็นอันตราย
- สินค้าสด จำเป็นต้องมีการจัดระบบรักษาอุณหภูมิให้คงที่ เพื่อให้ของยังคงสดใหม่จนกว่าจะไปถึงปลายทาง
- วัตถุที่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็ก จำเป็นต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาที่อาจเสี่ยงต่อการทำให้เกิดอันตรายหรือวัตถุเกิดความเสียหาย
- สินค้ามีค่า เช่น ทองคำขาว อัญมณี นอกจากต้องจัดเก็บในบริเวณพื้นที่มิดชิดไม่เสี่ยงต่อการถูกขโมยแล้ว ยังต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม
- สินค้าที่เสี่ยงต่อการสูญหาย เช่น นาฬิกาข้อมือ กล้อง ต้องมีการจัดระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และไม่เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายใด ๆ
- สินค้าที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ต้องมีการจัดระบบป้องกันไม่ให้น้ำรั่วไหลหรือมีสิ่งเจือปน
3. พัสดุเก็บเงินปลายทาง
สามารถเป็นได้ทั้งพัสดุทั่วไปและพัสดุที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลพิเศษ แต่ความพิเศษของพัสดุเก็บเงินปลายทาง คือ ผู้ส่งไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินตอนส่งของ แต่จะจ่ายก็ต่อเมื่อผู้รับได้ของแล้วเท่านั้น
ข้อควรรู้ก่อนใช้บริการ
ข้อควรรู้ก่อนใช้บริการขนส่งเพื่อส่งของมีด้วยกันหลายประการ ได้แก่
- การคิดราคา มาตรฐานส่วนใหญ่มักคิดตามน้ำหนัก เช่น น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม ค่าส่งเริ่มต้น 18 – 32 บาท
- ประเภทรถที่ใช้ในการขนส่ง มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะคอก รถกระบะตู้ทึบ รถ 6 ล้อ รถ 6 ล้อตู้ทึบ และอื่น ๆ โดยแต่ละประเภทจะเหมาะกับการขนส่งแตกต่างกันไป
- ข้อเสนอเพิ่มเติม การใช้บริการขนส่งเหมือนกับการซื้อสินค้าหรือการบริการที่มีส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษเข้ามาช่วยให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วย ดังนั้นก่อนใช้บริการอย่าลืมตรวจสอบให้ดี
- วิธีติดตามพัสดุ แต่ละที่จะมีมาตรฐานแตกต่างกันไป บางที่ใช้วิธีการกรอกเลขพัสดุหรือบางที่อาจมีการแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ แต่ไม่ว่าจะแบบไหนควรเรียนรู้เอาไว้เวลาส่งของจะได้มั่นใจว่าสามารถติดตามได้
และสุดท้ายก่อนเลือกใช้บริการบริษัทส่งของ อย่าลืมสอบถามข้อมูลไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการเลือกประเภทรถ การคิดราคา หรือรีวิวจากผู้มีประสบการณ์ จะได้มั่นใจว่าการใช้บริการบริษัทดังกล่าวนอกจากจะจ่ายในราคาถูกแล้วสินค้ายังไม่เสี่ยงต่อการสูญหายด้วย